การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเคลือข่ายอินเทอร์เน็ต
Search Engine ช่วยในการค้นหาได้อย่างรวดเร็วโดยทั่วไปSearch
Engine แบ่งลักษณะรูปแบบการค้นหา เป็น 3
ลักษณะ คือ
1.
การค้นแบบนามานุกรม
(Directory)
หมายถึงการแจ้งแหล่งที่ตั้ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาหรือเว็บไซต์ต่างๆ
ไว้เป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่ม
จะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ
ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับหลักการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุด ซึ่งการจัดทำแบบนามานุกรม
นี้มีข้อดีคือ
ช่วยให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการ
เนื่องจากนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระบบ
และสามารถกำหนดค้นได้ง่ายในหัวข้อโดยเลือกจากรายการที่ทำไว้แล้ว
เว็บไซต์ที่มีการจัดเรียงข้อมูลไว้แบบนามานุกรม
เช่น www.yahoo.com , www.lycos.com ww.sanook.com,
www.siamguru.com www.hotmail.com www.thaimail.com เป็นต้น
2.
การค้นหาแบบดรรชนี (Index) หรือคำสำคัญ (Keywords)เป็นการค้นหาข้อมูลในลักษณะคำหรือวลี ข้อความต่างๆ ที่อาจจะเป็นคำสำคัญ
ในการค้นหาลักษณะนี้ตัวโปรแกรมหรือเว็บไซต์จะมีเครื่องมือช่วยในการทำดรรชนีค้นที่เรียกว่า
Spider หรือ Robot
หรือ Crawlerทำหน้าที่เช็คตามหน้าเว็บต่างๆของเว็บไซต์ที่มีการเปิดดูอยู่แล้วนำคำที่ค้นมา
จัดทำเป็นดรรชนีค้นหาโดยอัตโนมัติ
ซึ่งการค้นแบบนี้จะสามารถค้นหาเว็บเพ็จใหม่ๆและทันสมัยมากกว่าการค้นแบบ
นามานุกรมแต่ทั้งนี้การสืบค้นแบบนี้จะต้องมีเทคนิควิธีการค้นเฉพาะด้านด้วย
เช่น การใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic)
หรือโอเปอเรเตอร์ (Operator) เป็นต้น โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก
แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวด
หมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อยเนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร
3. การค้นหาแบบ
Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง
Search Engine ประเภทอื่นๆ
และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ
วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural
Language (ภาษาพูด)
ดังนั้น หากจะใช้ Search
Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย
ในการค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น เราสามารถค้นหาได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1. การเข้าไปค้นหาในเว็บไซต์นั้นๆ
โดยตรงเราทราบจากแหล่งข้อมูลนั้นๆอยู่แล้วว่าอยู่ที่URLอะไรหรือเว็บไซต์อะไร
วิธีการนี้มีข้อเสียเปรียบก็คือเราต้องทราบว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ที่เว็บไซต์ไหนหากเราไม่ทราบ
ชื่อของเว็บไซต์หรือ URL
เราจะไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์นั้นๆ ได้เลย
2. การใช้เครื่องมือค้นหา (Search Engine)วิธีที่สองนี้เป็นการใช้เครื่องมือช่วยค้นหาที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตนั่นคือ
Search Engineซึ่งเครื่องมือนี้จะใช้ในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตได้
โดยเราจะต้องป้อนคำหลักหรือคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง
กับข้อมูลที่ต้องการค้นหา เราเรียกว่า
Keyword เข้าไปใน Search Engine ก็จะใช้ช่วยทำการค้นหาว่ามีในเว็บไซต์ใดบ้าง
การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
การค้นหาข้อมูลมีกี่วิธี ?
1. การค้นหาในรูปแบบ
Index
Directory
2. การค้นหาในรูปแบบ
Search
Engine
การค้นหาในรูปแบบ Index
Directory
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index
นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย
วิธีของ Search
Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่
และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก
เป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web
Browser จากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง
ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก
ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index
ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด
เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว
ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้นๆออกมา
หากคุณคิดว่าเอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดู สามารถ Click
ลงไปยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที
นอกเหนือไปจากนี้ ไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนำเอา Site
ที่มีความเกี่ยว
ข้องมากที่สุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง
การค้นหาในรูปแบบ Search
Engine
วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search
Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทำงานของ Search
Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
บน Internet
ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ
การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword)
ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป
ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา
คำแนะนำการใช้ google
ทำความรู้จัก
Google
กูเกิล
คือเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลเว็บอื่นๆ หรือที่เราเรียกว่า Search Engine ปัจจุบัน กูเกิล ยังครองใจผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกอย่างมาก
เพราะจากสถิติ กูเกิลเป็นเว็บค้นหาที่มีผุ้ใช้งานมากที่สุดในโลกตัวหนึ่ง
นอกเหนือจาก Yahoo! และ Bing
ทำไมต้อง
Google
สาเหตุหลักๆ น่าจะมาจาก
การค้นหาได้รวดเร็ว และได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมาก ไม่ว่าเราจะค้นหาคำใดๆ รูปภาพ
หรือวีดีโอ หรือแม้กระทั่งคำถามต่างๆ ก็สามารถค้นหาได้เช่นกัน
แถมรวดเร็วและค่อนข้างแม่นยำมากๆ อีกด้วย และนอกจากบริการค้นหาเว็บไซต์แล้ว
ยังไม่บริการอื่นๆ เสริมให้น่าใช้งานมากยิ่งขึ้นอีก เช่น ค้นหารูปภาพ ค้นหาสถานที่
เป็นต้น แล้วอย่างนี้ คุณจะรักกูเกิลได้ไง !
เริ่มต้นค้นหาเว็บด้วย Google
1.
เข้าไปยังเว็บ www.google.com หรือ www.google.co.th? ปกติแล้วจะพาเราเข้าไปที่
google.co.th เพราะว่าเราใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย (กูเกิล
เขาสามารถตรวจสอบได้)
2.
พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาในช่องว่าง? เช่นคำว่า
?ไอที? เป็นต้น (ไม่ต้องใส่เครื่องหมาย
??)
3.
กดปุ่ม ?ค้นหาด้วย Google?
4.
แค่นี้ก็จะได้ผลลัพธ์ตามที่คุณใส่ไว้แล้ว
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
electronic mai
ความหมาย
ใช้ตัวย่อว่า e-mail
หมายถึงการสื่อสารหรือการส่งข้อความ โน้ต
หรือบันทึกออกจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ผ่านไปเข้าเครื่องปลายทาง (terminal)
หรือเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านทางระบบเครือข่าย
(network)
ผู้ส่งจะต้องมีเลขที่อยู่ (e-mail address)ของผู้รับ
และผู้รับก็สามารถเปิดคอมพิวเตอร์เรียกข่าวสารนั้นออกมาดูเมื่อใดก็ได้ โดยปกติ
จะไม่มีการพิมพ์ข้อความหรือข่าวสารนั้นลงแผ่นกระดาษ
นับว่าเป็นการประหยัดกระดาษไปได้ส่วนหนึ่ง โดยทั่วไป
ถือกันว่าเป็นงานส่วนหนึ่งของสำนักงานอัตโนมัติ (office automation) ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอันมาก
กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์
(อังกฤษ: Bulletin Board System) หรือ บีบีเอส (BBS)
เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้หลาย
ๆ คน ใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมเทอร์มินัลติดต่อเข้าไปในระบบ ผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์.
โดยในระบบจะมีบริการต่าง ๆ ให้ใช้ เช่น ระบบส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ (คล้าย
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน
แต่รับส่งได้เฉพาะภายในระบบเครือข่ายสมาชิกเท่านั้น) ห้องสนทนา
บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ และกระดานแจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้น
บีบีเอสส่วนใหญ่เปิดให้บริการฟรี
โดยสมาชิกจะสามารถเข้าใช้ระบบได้แต่ละวันในระยะเวลาจำกัด
บีบีเอสมักจะดำเนินการในรูปของงานอดิเรกของผู้ดูแลระบบ หรือที่เรียกกันว่า ซิสอ็อป
(SysOp
จากคำว่า system operator)
บีบีเอสส่วนในเมืองไทยมีขนาดเล็ก
มีคู่สายเพียง 1 หรือ 2 คู่สายเท่านั้น บางบีบีเอสยังอาจเปิดปิดเป็นเวลาอีกด้วย
บีบีเอสขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนได้แก่ ManNET
ซึ่งมีถึง 8 คู่สายและเปิดบริการตลอด 24 ชม. ManNET
ดำเนินการโดยแมนกรุ๊ป
ผู้จัดทำนิตยสารคอมพิวเตอร์รายใหญ่ในยุคนั้น. นอกจากนี้ยังมีบีบีเอส CDC
Net ของ กองควบคุมโรคติดต่อ (กองควบคุมโรค
ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบีบีเอสระบบกราฟิกรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
ในปัจจุบัน
บีบีเอสมีบทบาทน้อยลงไปมาก เนื่องจากความแพร่หลายและข้อได้เปรียบหลายประการของ
อินเทอร์เน็ต และ เวิลด์ไวด์เว็บ. ในประเทศญี่ปุ่น คำว่า บีบีเอส
อาจจะใช้เรียกกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ตด้วย. แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว
นิยมเรียกกระดานข่าวเหล่านี้ว่า เว็บบอร์ด มากกว่า
ห้องสมุดแหล่งข้อมูล
1. ความหมายของห้องสมุด
คำว่า “ห้องสมุด” มีคำใช้อยู่หลายคำ ในประเทศไทยสมัยก่อนเรียกว่า
“หอหนังสือ” ห้องสมุดตรงกับภาษาอังกฤษว่า
Library มาจากศัพท์ภาษาละตินว่า Libraria แปลว่าที่เก็บหนังสือ
ห้องสมุด คือ
สถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ ซึ่งได้บันทึกไว้ในรูปของหนังสือ
วารสาร ต้นฉบับตัวเขียน สิ่งตีพิมพ์อื่น ๆ หรือโสตทัศนวัสดุ
และมีการจัดอย่างมีระเบียบเพื่อบริการแก่ผู้ใช้ ในอันที่จะส่งเสริมการเรียนรู้และความจรรโลงใจตามความสนใจ และความต้องการของ แต่ละบุคคล โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้จัดหา และจัดเตรียมให้บริการแก่ผู้ใช้ห้องสมุด
2. ความสำคัญของห้องสมุด
ความสำคัญของห้องสมุด การศึกษาไทยตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษามุ่งพัฒนาเยาวชนไทยให้
เก่ง ดี มีความสุขจากสังคมแห่งการเรียนรู้
ซึ่งเป็นสังคมคุณภาพที่สร้างคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้
การสร้างนิสัยรักการอ่าน และการแสวงหาแหล่งเรียนรู้
เพื่อนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร
(Information Age) ผู้ที่สนใจจะศึกษาค้นคว้าให้เป็นผู้รอบรู้ในวิทยาการ
เชี่ยวชาญในงานวิชาชีพ และทันสมัยต่อเหตุการณ์ต่าง
ๆ นั้น จำเป็นต้องพึ่งพาห้องสมุดเป็นอย่างยิ่ง
ห้องสมุดเป็นปัจจัยสำคัญสิ่งหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงความมีมาตรฐาน
ด้านการศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งนั้น ๆ
ความสำคัญของห้องสมุดในแต่ละสถาบันการศึกษานั้น อาจสรุปได้ดังนี้
2.1 ห้องสมุดเป็นแหล่งรวมทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ
เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษาที่ผู้ใช้สามารถศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ต้องการได้ทุกสาขาวิชาที่มีการเรียนการสอน ในสถานศึกษา เพื่อให้ครูอาจารย์ผู้สอน
และนักเรียนนักศึกษาเข้าค้นคว้าหาความรู้ เป็นสื่อกลาง ในกระบวนการเรียนการสอน
2.2 ห้องสมุดเป็นแหล่งที่ทุกคนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าได้โดยอิสระตามความสนใจ ของแต่ละบุคคล เป็นแหล่งภูมิปัญญาของสังคม
อาจเป็นการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้รอบรู้เข้าใจยิ่งขึ้น ในเนื้อหาวิชา หรือเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่
หรือเลือกอ่านสิ่งที่ตนสนใจ ซึ่งโรเจอร์
เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า “การอ่านทำให้เป็นคนเต็มคน”
ก่อให้เกิดการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการในการแสวงหาความรู้เฉพาะบุคคล
2.3 ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
คนเรานั้นหากมีเวลาว่างก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คุ้มค่าเวลา
การใช้เวลาว่างของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น
บางคนชอบนั่งเล่นเฉยๆ ชมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
บางคนชอบดูหนัง บางคนชอบฟังเพลง
บางคนชอบ เดินซื้อของหรือบางคนอาจชอบคุย แต่การใช้เวลาว่างที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การอ่านหนังสือ หยิบหนังสือดี ๆ สักเล่มให้กับชีวิตอ่านแล้วทำให้ปัญญางอกงาม เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
และยังช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดพอใจที่จะอ่านหนังสือต่างๆ
โดยไม่รู้จักจบสิ้นจากเล่มหนึ่งไปสู่อีกเล่มหนึ่ง
2.4 ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีความรู้ทันสมัย ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพราะผู้ใช้ห้องสมุด เป็นประจำจะเป็นผู้ที่รู้ข่าวความเคลื่อนไหวทั้งภายในและภายนอกประเทศ
2.5 ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้า และใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง
เพราะห้องสมุดเป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสาร
จัดให้มีบริการช่วยการค้นคว้า และเสนอแนะการอ่านผู้ซึ่งสามารถขยายขอบเขตการอ่าน
การศึกษาค้นคว้าให้กว้างขวางออกไปได้มากขึ้นก่อให้เกิด การเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระตุ้นให้รักการอ่านและการศึกษาค้นคว้า
2.6 ห้องสมุดเป็นสมบัติของส่วนรวม ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องรับรู้กฎระเบียบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่พึงมีพึงปฏิบัติต่อส่วนรวม
จึงเป็นการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยในตัวบุคคลเป็นอย่างดี
2.7 ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดมีความเพลิดเพลิน
ซึ่งนับว่าเป็นการพักผ่อนทางอารมณ์ของผู้ใช้ห้องสมุดวิธีหนึ่งด้วย
3. ประโยชน์ของห้องสมุด
ห้องสมุดเป็นแหล่งที่จัดหา รวบรวมทรัพยากรสารนิเทศ
อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อตัวบุคคลและสังคมในด้านต่าง
ๆ ดังต่อไปนี้
1. ด้านการเรียนการสอน
2. ด้านการค้นคว้าวิจัยเพื่อให้เกิดความรู้ใหม่
3. ด้านศิลปวัฒนธรรม (สะสมความคิด
วัฒนธรรม มรดกของชาติ)
4. ด้านการดำรงชีวิต
5. ด้านเศรษฐกิจ (ช่วยประหยัดในการค้นหาความรู้ สร้างอาชีพให้คน)
6. ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
4. องค์ประกอบของห้องสมุด
ห้องสมุดจะดำเนินการอยู่ได้ต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
4.1 สถานที่ สำหรับใช้จัดเก็บหนังสือและโสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
และใช้ดำเนินงานในการจัดให้บริการแก่ผู้ใช้ได้อย่างสะดวก ห้องสมุดอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาคารหรือเป็นอาคารเอกเทศก็ได้
ขึ้นอยู่กับจำนวนของทรัพยากรสารนิเทศ วัสดุอุปกรณ์
และผู้ใช้บริการว่ามีมากน้อยเพียงใด
4.2 ทรัพยากรห้องสมุด
ต้องมีจำนวนมากพอและใหม่ทันสมัยอยู่เสมอ คัดเลือกให้เหมาะสมกับผู้ใช้
มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
มีการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมที่จะใช้งานได้ตลอดเวลา
4.3 บรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่ห้องสมุดต้องมีบรรณารักษ์
วิชาชีพเป็นผู้ดำเนินการบริหารและจัดการให้การดำเนินงานห้องสมุดเป็นไปอย่าง
มีประสิทธิภาพและมีเจ้าหน้าที่อื่น
ๆ เพียงพอที่จะช่วยในงานจัดหา จัดเตรียมหนังสือให้ยืม งานพิมพ์
งานจัดเก็บสิ่งพิมพ์ งานบริการ และงานอื่น
ๆ ของห้องสมุด
4.4 งบประมาณ ห้องสมุดต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดซื้อหนังสือและสื่ออื่น
ๆ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
ในการจัดบริการของห้องสมุดและต้องได้รับงบประมาณอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
5. วัตถุประสงค์ของห้องสมุด
โดยทั่วไปการจัดบริการห้องสมุดจะมีวัตถุประสงค์โดยรวม ดังนี้
5.1 เพื่อการศึกษา (Education) การศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้น การเรียนทุกระดับชั้นตั้งแต่อนุบาล
ประถมศึกษา มัธยมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา
ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากทรัพยากรสารสนเทศต่าง
ๆ ในห้องสมุดเพื่อให้เกิดความรู้อย่างกว้างขวาง
ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่วนการศึกษานอกระบบหรือผู้ที่ไม่ได้ศึกษาถึงขั้นสูงสุดก็สามารถใช้ห้องสมุดเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง
พัฒนาอาชีพได้ตลอดชีวิต เพราะห้องสมุดเปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปค้นหาคำตอบที่ต้องการได้
5.2 เพื่อให้ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร (Information) ห้องสมุดได้จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศประเภทหนังสือพิมพ์
วารสาร นิตยสาร ในทุกสาขาวิชาเพื่อให้ผู้ใช้ติดตามข่าว ความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ปัจจุบัน
และความก้าวหน้าทางวิชาการในแต่ละสาขาวิชาชีพ จึงเป็นการสนองความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และห้องสมุดยังได้จัดหาทรัพยากรสารนิเทศที่ดีและใหม่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลามาไว้ให้บริการ
ผู้ใช้จึงได้ทั้งความรู้และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
อีกทั้งยังสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและนอกประเทศทั่วโลก
5.3 เพื่อการค้นคว้าวิจัย (Research) ห้องสมุดเป็นสถานที่จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศประเภทสถิติ
รายงานการวิจัยและหนังสืออ้างอิง เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกต่อการค้นคว้าวิจัย ของนักวิจัยในสาขาต่าง ๆ ซึ่งได้จัดหา
รวบรวมสารนิเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โครงงาน
ผลการค้นคว้าวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ และสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายที่มีผู้จัดทำไว้แล้ว
ไว้สำหรับให้ผู้ที่สนใจ นักการศึกษา
นักวิจัยได้ศึกษาค้นคว้า และส่งเสริมให้เกิดงานค้นคว้าวิจัยชิ้นใหม่
ๆ เกิดความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาต่าง ๆ
เพื่อเป็นการเสริมสร้างความงอกงามทางด้านวิชาการต่อไป ในอนาคต
5.4 เพื่อให้เกิดความจรรโลงใจ (Inspiration) ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดนอกจาก จะให้ความรู้ทางวิชาการแล้ว
ยังได้รวบรวมสะสมความรู้สึกนึกคิดที่สร้างสรรค์ความดีงาม ซึ่งได้แก่ ทรัพยากรสารสนเทศประเภท
ปรัชญา จิตวิทยา ศิลปะ ศาสนา วรรณคดี
บทประพันธ์ต่างๆ ชีวประวัติ
สารคดีท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้วจะทำให้เกิดความสุขทางใจ
เกิดความรู้สึก ชื่นชมและประทับใจในความคิดที่ดีงาม
เกิดความซาบซึ้งประทับใจในเรื่องราวที่อ่าน มองเห็นคุณค่าของความดีงาม ได้คติชีวิตจนสามารถยกระดับจิตใจและเกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีมีความสำเร็จในชีวิตอันเป็นประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม
5.5 เพื่อนันทนาการหรือพักผ่อนหย่อนใจ (Recreation) ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดนั้นนอกจากจะมีเนื้อหาทางด้านวิชาการแล้วยังมีหนังสือประเภทนวนิยาย
เรื่องสั้น นิตยสาร เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน และห้องสมุดยังได้จัดหาสื่อที่เรียกว่า
Edutainment
(สื่อที่ให้ทั้งความรู้ ความคิด การศึกษาด้านวิชาการ และความบันเทิงไปพร้อม ๆ
กัน) เพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุดได้รับความสุข
ความเพลิดเพลินจากการอ่าน การดูและการฟัง
เช่น วีดิทัศน์ ฟังเพลง ดูหนังสารคดี ดูการ์ตูน ดูภาพล้อ เป็นต้น
Digital Library ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Digital Library (ห้อง
สมุดอิเล็กทรอนิกส์) หมายถึง
การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์
ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว
แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้อง
สมุดแบบดั้งเดิม
หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ ประการแรก
สิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก
หากจะนำมาดิจิไทซ์ (digitize)
หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล
ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง
ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน
ยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้น สามารถอ่านได้ครั้งละนานๆ
มากขึ้น ประการที่สาม ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และวิธีการจัดการกับปัญหานี้
ในกรณีที่ต้องการแปลงสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่เป็นสารสนเทศแบบดิจิทัลเพื่อนำออกเผยแพร่
ยังไม่มีกฎหมายหรือหลักการที่เป็นสากลว่าด้วยเรื่องนี้
หากยังต้องอาศัยการตกลงกันเองระหว่างคู่กรณีเป็นรายๆ ไป
ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตามการแปลงสิ่งพิมพ์เป็นสารสนเทศดิจิทัลนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
เพื่อการอนุรักษ์สิ่งพิมพ์เก่าๆไว้เอกสารที่เป็นกระดาษนั้น หากจัดเก็บถูกวิธีอาจสามารถอยู่ได้นับพันปี เช่น
เอกสารที่ทำด้วยกระดาษปาปิรัส
สมัยอียิปต์หรือบาลิโลเนียยังมีหลงเหลือให้เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ของโลก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
หนังสือหรือเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีอายุใช้งานเพียง 100 -
200 ปีเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Pilgrim Kamanita ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เสถียรโกศ และนาคประทีป
นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทย
ชื่อ กามนิต วาสิฏฐี นั้น ขณะนี้เหลืออยู่ที่ The British Museum ที่กรุงลอนดอนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และอยู่ในสภาพถูกเก็บตาย เพราะกระดาษกรอบหมดแล้ว นำมาเปิดอ่านไม่ได้
เอกสารทำนองนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และต้องหาวิธีอนุรักษ์ไว้ให้ได้เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า
และบางอย่างเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ วิธีอนุรักษ์วิธีหนึ่ง คือ
การนำมากราดตรวจ หรือ ถ่ายภาพหน้าต่อหน้า แล้วบันทึกใส่ซีดีรอม (CD-ROM) ไว้
อย่างไรก็ตามซีดีรอมเองก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวมากมายนัก เชื่อกันว่าสามารถจะเก็บได้นาน 30 – 50
ปี เท่านั้น
แต่ถ้ามีการทำสำเนาก่อนที่ซีดีรอมแผ่นนั้นจะหมดอายุ
ก็สามารถเก็บไปได้ตลอด
เพราะการทำสำเนาข้อมูลดิจิทัลนั้นจะได้สำเนาที่มีคุณภาพเท่าต้นฉบับดิจิทัล
ไม่มีการเสื่อมลงทุกครั้งที่ทำสำเนาเหมือนระบบอนาลอค ดังนั้น
ห้องสมุดดิจิทัลจะสามารถให้บริการเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่มีอายุมากๆได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น